เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลาง



1.โคลอสเซียม

สถานที่ตั้ง     ประเทศอิตาลี

ปัจจุบัน        สามารถเข้าเยี่ยมชมได้

โคลอสเซียม (Colosseum), ประเทศอิตาลี ราวปี ค.ศ. 70 – 80
สนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ที่มีโครงสร้างเกือบสมบูรณ์ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม  ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 10 ปี โดยเริ่มต้นสมัยจักรพรรดิเวสปาเซียน (ราวปี ค.ศ. 72) และเปิดใช้งานในสมัยจักรพรรดิตีตุส (ราวปี ค.ศ. 80) แต่การก่อสร้างยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายปี  อัฒจันทร์ทรงรีซึ่งก่อด้วยอิฐและหินทรายนี้มีความยาวโดยรอบประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร จุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน  ด้านล่างมีห้องใต้ดินสำหรับขังสัตว์ป่า  เช่น สิงโต  หรือนักโทษประหารซึ่งจะปล่อยออกมาต่อสู้กัน  อันเป็นความบันเทิงที่คนในยุคหลังมองว่าโหดร้ายโคลอสเซียมมีการออกแบบที่ชาญฉลาด  โครงสร้างรูปวงรีช่วยให้ผู้ชมสามารถชมการแข่งขันได้โดยไม่มีจุดอับ  และให้ความรู้สึกราวกับได้สัมผัสนักกีฬาอย่างใกล้ชิด  ขณะที่ระบบระบายน้ำช่วยม่ให้น้ำท่วมขังเวลาฝนตก  ถือเป็นต้นแบบสนามกีฬาต่างๆในปัจจุบัน  บางครั้งเรียกว่า โคลีเซียม (Coliseum)  ทุกวันนี้ยังมีโครงสร้างเกือบสมบูรณ์ และเป็นโบราณสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

-   ชื่อโคลอสเซียมมาจากคำว่า โคลอสซัส อันหมายถึง รูปปั้นจักรพรรดิเนโรความสูง 40 เมตรที่อยู่ใกล้ๆ
โคลอสเซียมเป็นสนามกีฬาที่เปิดให้ให้ชาวโรมันเข้าชมการต่อสู้อย่างถึงเลือดถึงเนื้อระหว่างสัตว์ป่ากับสัตว์ป่า  หรือสัตว์ป่ากับคน  รวมทั้งการต่อสู้ระหว่างคนกับคน ที่เรียกว่า แกลดิเอเตอร์ ซึ่งหลายคนเป็นทาส  เชลย  และนักโทษประหารที่ต้องลงสนามอย่างไม่เต็มใจ
โคลอสเซียมมีการใช้งานนานถึง 450 ปี โดยมีการปรับปรุงซ่อมแซมและเปลี่ยนแปลงแก้ไขหลายครั้ง  เนื่องจากภัยธรรมชาติ เช่น  แผ่นดินไหว รวมทั้งเพลิงไหม้เนื่องจากฟ้าผ่าในปี ค.ศ. 217
-  บันทึกการต่อสู้ของแกลดิเอเตอร์ครั้งสุดท้ายปากฎในปี 404  เนื่องจากจักรพรรดิโฮโนเรอัสทรงสั่งห้ามการต่อสู้ดังกล่าวในปี 405  ส่วนบันทึกการต่อสู้ของสัตว์ป่าครั้งสุดท้ายมีขึ้นในปี 523 และเหตุผลหลักที่ทำให้กิจกรรมต่างๆในโคลอสเซียมซบเซาเนื่องจากเกิดปัญหาการเงินและการทหารของจักรวรรดิโรมัน
-  ประตูทางเข้าทั้ง 80 บานนั้นมีหมายเลขกำกับ  ยกเว้นบานหนึ่งซึ่งอยู่ด้านมอนเตออปปีโอ  ประตูไร้หมายเลขบานนี้มีสภาพที่เรียกว่าค่อนข้างสมบูรณ์ที่สุด



2.หลุมฝังศพแห่งอะเล็กซานเดรีย

ตำแหน่งที่ตั้ง    เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์

ปัจจุบัน           สามารถเข้าเยี่ยมชมได้


       สุสานแห่งอเล็กซานเดรียมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า คาตาโกมบ์ Cata Comb ตั้งอยู่ที่เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ สุสานใต้ดินแห่งนี้มีสามชั้น ชั้นที่ 1 มีไว้สำหรับเตรียมการปลงศพ ชั้นที่ 2 เป็นที่เก็บรักษา และชั้นที่ 3 ใช้เป็นที่รวมญาติเพื่อระลึกถึงผู้ตาย โดยมีการเลี้ยงสังสรรค์กันทั้งวัน ซึ่งเล่ากันว่าตอนที่นักโบราณคดีค้นพบที่นี่เป็นครั้งแรก บนโต๊ะยังมีขวดไวน์และจานวางอยู่

       สุสานแห่งนี้เป็นอุโมงค์ฝังศพใต้ดินของกษัตริย์อียิปต์โบราณ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้าง เป็นสุสานของใคร และสร้างขึ้นเมื่อใด ลักษณะของตัวสุสานจะแตกต่างไปจากพีระมิด เพราะได้มีการจัดสร้างเป็นอุโมงค์ใต้ดินขุดลึกเข้าไปในภูเขาหินทราย โดยทำเป็นชั้นๆและมีช่องทางกว้างประมาณ 3 -4 ฟุต วกเวียนไปมาเป็นระยะทางหลายไมล์ ภายในอุโมงค์บางตอนได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม ที่สำหรับบรรจุพระศพคือส่วนของผนังอุโมงค์ที่เจาะเป็นช่องลึกเข้าไป มีแท่นสำหรับบูชาพระศพของพระมหากษัตริย์และมีตะเกียงดวงเล็กๆแขวนไว้ด้านหน้า

       ปัจจุบัน สุสานแห่งอเล็กซานเดรียได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยังคงสภาพ สมบูรณ์อีกแห่งหนึ่งของโลก เนื่องจากเป็นสถานที่ที่ใช้ฝังพระศพของกษัตริย์อียิปต์โบราณไว้ใต้ดินซึ่ง เป็นการฝังพระศพอีกรูปแบบหนึ่งของชาวอียิปต์โบราณนอกเหนือไปจากการฝังพระศพ ของพระมหากษัตริย์แห่งอียิปต์ไว้ในพีระมิดคาตาโกมบ์ ไม่ปรากฏว่าสร้างเมื่อใด และใครเป็นผู้สร้าง ปัจจุบันยังมีสภาพเกือบสมบูรณ์ พอที่จะเข้าชมกันได้ อยู่ที่เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ จัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลกยุคกลาง


3.กำแพงเมืองจีน

สถานที่ตั้ง     ประเทศจีน

ปัจจุบัน          สามารถเข้าเยี่ยมชมได้



       กำแพงเมืองจีนถือกันว่า เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก มีระยะทางยาวกว่า 7,000 กิโลเมตร เป็นสิ่งก่อสร้างในกิจการป้องกันทางการทหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและใช้เวลาสร้างนานที่สุดในโลกสมัยโบราณ เมื่อปี 1987 กำแพงเมืองจีนได้รับคัดเลือกให้เป็นมรดกโลก งาน สร้างสรรค์กำแพงเมืองจีนเริ่มขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 ก่อนคริสต์ศักราช ผู้ปกครองของจีนในสมัยโน้นได้สร้างกำแพงเมืองเชื่อมป้อมและป้อมไฟสัญญาณแจ้งเหตุในเขตชายแดนเข้าด้วยกันเพื่อป้องกันการรุกรานจากชนชาติส่วนน้อยในภาคเหนือ ถึงสมัยชุนชิวจ้านกั๋ว เจ้าผู้ครองแคว้นต่าง ๆ ของจีนพากัน แย่งชิงความเป็นใหญ่ เกิดสงครามระหว่างกันไม่ขาดสาย จึงได้สร้างกำแพงเมืองตามเทือกเขาใน เขตชายแดนเพื่อป้องกันฝ่ายตรงข้าม ถึงปี 221 ก่อนคริสต์ศักราชจักรพรรดิจิ๋นซีได้รวมจีนเข้าเป็นเอกภาพและได้เชื่อมกำแพงเมืองในแคว้นต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เพื่อป้องกันการรุกรานจากชนชาติ ส่วนน้อยแถบทุ่งหญ้าอันกว้างไพศาลในมองโกเลีย กำแพงเมืองจีนในสมัยนั้นมีระยะทางยาวกว่า 5,000 กิโลเมตร หลังจากนั้น ผู้ปกครองของจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่นได้สร้างกำแพงเมืองจีนต่อจนมี ระยะทางยาวกว่า 10,000 กิโลเมตร ในช่วงระยะเวลากว่า 2000 ปี ผู้ปกครองของจีนในสมัยต่าง ๆ ต่างก็เคยสร้างกำแพงเมืองมากบ้างน้อยบ้าง รวม ๆ แล้วมีระยะทางยาวกว่า 50000 กิโลเมตร  ซึ่งสามารถล้อมโลกได้เกิน 1 รอบโดยทั่วไปแล้ว กำแพงเมืองจีนในปัจจุบันหมายถึงกำแพงเมืองจีนสมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368 -ค.ศ.1644)ระหว่างด่านเจียอี้กวนในมณฑลกันซู่ทางภาคตะวันตกถึงริมฝั่งแม่น้ำยาลู่ในมณฑลเหลียวหนิงทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ผ่าน 9 มณฑล นครและเขตปกครองตนเอง ของจีนโดยมีระยะทางยาวรวม 7300 กิโลเมตร เท่ากับ 14000 กว่าลี้ จึงได้ชื่อว่า กำแพงหมื่นลี้

      โดยทั่วไปแล้ว ด้านนอกของกำแพงเมืองจีนก่อด้วยอิฐก้อนใหญ่และแกนหินข้างในถมด้วยดินเหลืองและเศษหิน ความสูงประมาณ 10 เมตร สันกำแพงเมืองจีนกว้าง 4 ถึง 5 เมตร ให้ม้า 4 ตัวไปพร้อมกันได้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายทหาร ขนส่งอาหารและอาวุธยามศึก ด้านในของกำแพงเมืองมีประตูที่ทำบันไดหินไว้ การขึ้นลงสะดวกมาก ทั้งได้สร้างป้อมและป้อม จุดไฟสัญญาณแจ้งเหตุเป็นช่วง ๆ ป้อมเป็นที่เก็บอาวุธ อาหารและที่พักของทหาร ยามศึก ก็จะใช้เป็นที่กำบังได้ ถ้ามีศัตรูรุกเข้ามา ก็จะจุดไฟสัญญาณให้มีควันขึ้นบนป้อมแจ้งเหตุเพื่อส่งข่าว ไปยังทั่วประเทศทันที

        ปัจจุบัน กำแพงเมืองจีนไม่มีสมรรถนะในการใช้เป็นป้อมรับศึกอีกแล้ว แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่น่าทึ่งในฐานะสถาปัตยกรรมอันสง่างามอย่างหนึ่งที่มีลักษณะพิเศษ กำแพงเมืองจีนมีความหมายทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและคุณค่าทางการท่องเที่ยวอย่างสูง ผู้คนในจีนซึ่งรวมทั้งนักท่องเที่ยวทั้งจีนและต่างประเทศแม้กระทั่งผู้นำต่างประเทศด้วยมักจะกล่าวกันว่า ถ้าไม่ได้ขึ้นกำแพงเมืองจีนก็ไม่ใช่ผู้กล้า กำแพงเมืองจีนหลายช่วงที่ได้รับการอนุรักษ์ค่อนข้างดี เช่น ป๋าต้าหลิ่ง ซือหม่าไถ มู่เถียนอี้ ด่านซานไห่กวน และด่านเจียอี้กวน เป็นต้นต่างก็เป็นแหล่งท่อง เที่ยวที่มีชื่อเสียงมาก มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเที่ยวกันสม่ำเสมอตลอดทั้งปี เมื่อปี 1987 กำแพงเมืองจีนได้รับคัดเลือกให้เป็นมรดกโลกในฐานะที่เป็น สัญลักษณ์ของประชาชาติจีน


4.สโตนเฮนจ์

สถานที่ตั้ง           เมืองซัลลิสเบอรี่ มณฑลวิลไซร์ ประเทศอังกฤษ

ปัจจุบัน               สามารถเข้าเยี่ยมชมได้



       กองหินประหลาดนี้อยู่กลางทุ่งนาแห่งเมืองซัลลิสเบอรี ห่างจากกรุงลอนดอนประมาณ 10 ไมล์ ประกอบด้วยแนวหินขนาดมหึมาหินเรียงรายราว ๆ 3 กิโลเมตร และ มีกลุ่มหินใหญ่ประมาณ 112 ก้อน ตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางทุ่งนา เป็นรูปวงกลมซ้อนกันอยู่ 3 วง บางก้อนล้มนอน บางก้อนตั้งตรง บางก้อนวางซ้อนทับอยู่บนยอดก้อนหินที่ตั้งอยู่สองก้อน

      วงกลมรอบนอก มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 100 ฟุต มีหินทั้งหมด 30 ก้อน แต่ละก้อนสูง 13 ฟุต
      วงกลมรอบกลาง มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 76 ฟุต มีหินทั้งหมด 40 ก้อน มีสองก้อนตั้งสูงถึง 22 ฟุต
     วงในสุด มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 50 ฟุต มีหินทั้งหมด 42 ก้อน ล้มบ้างตั้งสูงบ้าง หินแต่ละก้อนหนักเป็นตันๆ เฉลี่ยแล้วสูง 4 เมตร หนัก 26 ตัน
        มีผู้สันนิษฐานว่าตั้งอยู่ในที่นั้นมาตั้งแต่ก่อนคริสตกาลถึง 1,700 ปี เป็นสิ่งก่อสร้างที่โดยไม่มีร่องรอยของความเป็นมา ไม่มีใครทราบว่าใครเป็นผู้สร้าง, สร้างเพื่อวัตถุประสงค์อะไร? ที่น่าแปลกก็คือ ในริเวณนั้นเป็นทุ่งกว้าง ไม่มีภูเขาและสิ่งก่อสร้างด้วยก้อนหินอื่น ๆ อีกเลย จึงทำให้สงสัยว่าผู้ก่อสร้างนำหินเหล่านั้นมาจากไหน และไม่ปรากฏว่ามีการขน หรือสิ่งปรักหักพังในการก่อสร้าง บริเวณที่ดังกล่าว ใช้อะไรยกหินก้อน ที่หนัก ๆ หลาย ๆ ตันขึ้นวางซ้อนกันได้ ซึ่งอยู่สูงถึง 13 ฟุต นับเป็นสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์ที่ท้าทายความอยากรู้ของมนุษย์ยุคปัจจุบันยิ่งนัก


5.เจดีย์กระเบื้องเคลือบ

สถานที่ตั้ง              เมืองนานกิง ประเทศจีน

ปัจจุบัน  -




        เจดีย์กระเบื้องเคลือบเมืองนานกิง เป็นสิ่งก่อสร้างเจดีย์รูปแปดเหลี่ยม สูง 9 ชั้น สูง 261 ฟุต หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียว มีกระดิ่งแขวนไว้ 80 ลูก และโคมไฟประดับอีกหลายร้อยผูกแขวนไว้ตามชายคา ยอดเจดีย์เป็นรูปกลมปิดทอง องค์เจดีย์ก่อด้วยอิฐ ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบทั้งหมด เดิมทีพุทธศาสนิกชนชาวจีนเป็นผู้สร้างไว้เพียง 3 ชั้น
        ใน ค.ศ. 1430 จักรพรรดิ์ยุ่งโล้ แห่งราชวงศ์เหม็งได้โปรดให้จัดสร้างเสริมขึ้นไปอีกจนสูง 9 ชั้น มีสายโซ่โยงลงมา 8 เส้น มีกระดิ่งแขวนตามสายโซ่ 72 ลูก เวลาลมพัดมีเสียงดังไพเราะมาก เพื่อเป็นอนุสรณ์ระลึกคุณบิดา มารดา จักรพรรดิ์ยุ่งโล้ได้บรรจุเครื่องบูชาที่ทำ ด้วยของมีค่า พวกเงิน ทองคำ และอัญมณีอื่นๆ จำนวนมาก กล่าวกันว่า บนยอดเจดีย์มีลูกบอลปิดทอง มีเหล็กวงแหวนล้อมรอบถึง 9 วง มีไข่มุก ขนาดใหญ่ 5 เม็ดอยู่ที่ปลายเป็นเครื่องลางบอกความมีโชคชัย ของกรุงนานกิง

        เจดีย์นี้เคยถูกฟ้าผ่า และถูกพวกกบฎไต้เผ็ง ทำลายเมื่อปี พ.ศ. 2396 (ค.ศ. 1853) เสียหายมาก ต้องมีการซ่อมแซมเพื่อ ให้ส่วนที่เหลืออยู่ได้อวดความงามอันน่ามหัศจรรย์ต่อไป ส่วนของมีค่าภายในนั้นถูกปล้นสะดมสูญหายไปหมดแล้ว ถึงกระนั้นก็ยังได้ชื่อว่า เป็นเจดีย์ที่ทำด้วยกระเบื้องเคลือบ วิจิตรงดงามมีค่าสูงยิ่ง


6.หอเอนเมืองปิซา

สถานที่ตั้ง              เมืองปิซา ประเทศอิตาลี

ปัจจุบัน                  สามารถเข้าเยี่ยมชมได้



        หอเอนแห่งเมืองปิซา เป็นหอคอยหินอ่อนที่พิศดาร สูง 54 เมตร ( 181 ฟุต) มี 8 ชั้น แต่ละชั้นมีเสาหินอ่อนที่สลักลวดลายวิจิตรรองรับ ได้ลงมือสร้างเมื่อ พ.ศ. 1717 (ค.ศ. 1174) ไปเสร็จในปี พ.ศ. 1893 (ค.ศ. 1350) ใช้เวานานถึง 176 ปี ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใช้เวลาสร้างนานที่สุดในโลก ความน่ามหัศจรรย์อีกอย่าง คือ เมื่อเริ่มสร้างได้ 4-5 ชั้น หอนี้เริ่มเอียง แต่ไม่ถึงกับพังทลายลงมา เพราะแรงที่จุดศูนย์ถ่วง เมื่อลากดิ่งลงมาไม่ออกนอกฐานจึงไม่ล้มยังทรงตัวอยู่ได้ เมื่อสร้างเสร็จ ยอดของหอเอียงออกจากแนวดิ่งของฐานถึง 4 เมตร( 14 ฟุต) และหอเอนนี้ช่วยให้กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ ชาวอิตาเลียน ผู้มีชื่อเสียงของโลก ได้ทดลองเรื่องอัตราเร็วของเทห์วัตถุที่ตกลงมาจากที่สูง


7.สุเหร่าโซเฟีย

สถานที่ตั้ง              เมืองคอนสแตนดิโนเปิล ประเทศตุรกี

ปัจจุบัน                  สามารถเข้าเยี่ยมชมได้




      สุเหร่าเซนต์โซเฟีย(Saint Sophia) หรือ โบสถ์ฮาเจีย โซเฟีย ปัจจุบันเป็นที่ประชุมสวดมนต์ของชาวมุสลิม ในอดีตเป็นโบสถ์ทางศาสนาคริสต์ พระเจ้าจักรพรรดิ์คอนสแตนตินเป็นผู้สร้างเมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่13 ใช้เวลาสร้าง 17 ปี เพื่อเป็นโบสถ์ของศาสนาคริสต์ แต่ถูกผู้ก่อการร้ายบุกทำลายเผาเสียวอดวายหลายครั้งเพราะเกิดการขัดแย้งระหว่าง พวกที่นับถือศาสนาคริสต์กับศาสนาอิสลาม

        จนถึงสมัยพระเจ้าจัสตินเนียน มีอำนาจเหนือตุรกี จึงได้สร้างโบสถ์เซนต์โซเฟียขึ้นใหม่ ใช้เวลาสร้างฐานโบสถ์ 20 ปี ตัวโบสถ์ 5 ปี เมื่อประมาณปี พ.ศ. 1996 (ค.ศ 1435) พระองค์ต้องการให้เป็นสิ่งสวยงามที่สุดได้พยายามหา สิ่งของมีค่าต่างๆ มาประดับไว้มากมาย สร้างเสร็จได้มีการเฉลิมฉลองกันอย่าง มโหฬาร ต่อมาเกิดแผ่นดินไหวอย่างใหญ่ทำให้แตกร้าวต้องให้ช่างซ่อมจนเรียบร้อยในสภาพเดิม
        เมื่อสิ้นสมัยของจักรพรรดิจัสตินเนียน ถึงสมัยพระเจ้าโมฮัมเม็ดที่ 2 มีอำนาจเหนือตุรกี และเป็นผู้นับถือศาสนา อิสลามได้ดัดแปลงโบสถ์หลังนี้ให้เป็นสุเหร่าอิสลาม แต่ยังคงความงามไว้เช่นเดิม

        สุเหร่าเซนต์โซเฟีย มีเนื้อที่ 700 ตารางเมตร ภายในมีเสางามค้ำที่สลักอย่างวิจิตร และ ประดับไว้งดงาม 108 ต้น (ชั้นบนขนาดเล็ก 68 ต้น ชั้นล่างขนาดใหญ่ 40 ต้น) มียอดเป็นโดม คล้ายซาลาเปา มีหอมินาเรสท์เป็นยอดแหลม ๆ มากมาย เนื่องจากศิลปะแบบคริสเตียน ผสมกับอิสลามนี้เองทำให้มีความสวยงามอันน่ามหัศจรรย์


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Like