สถานที่ตั้ง เมืองกิซา ประเทศอียิปต์
ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
ปิรามิดเป็นสิ่งก่อสร้างรูปกรวยเหลี่ยมสำหรับเป็นที่เก็บศพกษัตริย์อียิปต์โบราณ
ในอียิปต์มีอยู่ 70
ด้วยกัน แต่ปิรามิด 3
แห่งที่อยู่เมืองกีซ่า คือ หลุมฝังศพของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์(พระเจ้าคูฟู) คีเฟรน
และไมซีรีนัส เป็นปิรามิดที่ใหญ่ที่สุดสันนิษฐานว่าปิรามิดนี้ สร้างขึ้นมาตั้งแต่ 4600 ปีมาแล้ว
นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคเก่า
ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและยังคงตั้งตระหง่านอยู่เพียงแห่งเดียวในโลก ใช้เวลาสร้าง 10 ปี
ปิรามิดที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามอันแห่งเมืองกีซ่านี้
ที่ใหญ่ที่สุดคือปิรามิดของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์ เรียกว่ามหาปิรามิด
- ฐานของปิรามิดแห่งนี้มีความกว้างถึง
570,000 ตาราง768
ฟุต บริเวณฐานปิรามิด 4
ด้านนั้น มีความกว้างยาวเท่ากัน คือ 755
ฟุต หรือ 230.12
เมตร จะแตกต่างกันมากน้อยแค่ 8
นิ้ว
- ตัวมหาปิรามิดนี้สูงประมาณ
432 ฟุตประมาณได้ว่ามีหินก้อนมหึมาถึง 2,300,000
ก้อน หนักกว่า 6,000,000
ตัน แต่ละก้อนหนักถึง 2.5
ตัน บางก้อนหนักถึง 16
ตัน กว้างยาวประมาณ 3
ฟุต หรือ 1
เมตร
สันนิษฐานว่าผู้สร้างปิรามิดนี้อาศัยดวงดาวเป็นหลัก
นอกจากความใหญ่โตอันน่ามหัศจรรย์ของปิรามิดแล้ว การก่อสร้างให้สำเร็จยัง
น่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าหลายเท่าถ้าทราบว่าหินเหล่านี้ต้องสกัดมาจากภูเขาที่อยูไกล
แล้วลากมาสู่ฝั่งแม่น้ำไนล์ ล่องลงมาเป็นระยะทางนับร้อยไมล์
จึงมาถึงจุดใกล้ที่ก่อสร้าง
แล้วชักลากผ่านทะเลทรายไปถึงที่ก่อส้างต้องแต่งสลักเป็นแท่งสี่เหลี่ยม แล้วยก
วางซ้อนขึ้นไปจนถึง 432
ฟุต
ใจกลางปิรามิดมีห้องเก็บพระศพของพระเจ้าคีออพส์ข้างในทำจากหินแกรนิต กว้าง 34 ฟุต ยาว 17 ฟุต และสูง 19 ฟุต
หีบพระศพของพระเจ้าคีออพส์ทำด้วยหินแกรนิตตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของห้องปิรามิดของพระเจ้าคีออพส์
ล้อมรอบด้วยหลุมศพ และปิรามิดเล็ก ๆ อีก 3
แห่ง ซึ่งเป็นของสมาชิกในราชวงศ์และในราชสำนักชั้นสูง
ปิรามิดแห่งที่สองของกีซ่าเป็นปิรามิดคีเฟรน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมหาปิรามิด
เล็กกว่ามหาปิรามิดเล็กน้อย คือสูง 460
ฟุต ช่วงบนของปิรามิดนี้มีลักษณะเด่นเพราะเป็นหินปูนขาว
ปิรามิดไมซีรีนัส
เป็นปิรามิดที่เล็กที่สุดในบรรดาทั้งสามแห่ง สูงแค่ 230 ฟุต
นอกเหนือจากปิรามิดทั้งสามแล้วยังมี ตัวสฟิงซ์ซึ่งมีชื่อเสียงมากเช่นกัน
โดยแกะสลักหินก้อนใหญ่เป็นรูปสิงโตหมอบอยู่แต่หน้าเป็นมนุษย์ใบหน้านี้เป็นใบหน้าของพระเจ้าคีเฟรน
ซึ่งมีคนนับถือเป็นพระเจ้าแห่งพระอาทิตย์ รูปสฟิงซ์นี้สูงถึง 66 ฟุต ยาว 240 ฟุต
หมอบเฝ้าปากทางที่พามุ่งตรงไปยังปิรามิดแห่งคีเฟรน
2.สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน
สถานที่ตั้ง กลางทะเลทราย
เมืองแบกแดด ประเทศอิรัก
ปัจจุบัน ทั้งสวนและผนังดังกล่าวทรุดโทรมจนแทบไม่เหลือซากแล้ว
ระหว่างในรัชสมัยของพระเจ้านาโบโปลัซซาร์และพระโอรส คือ
พระเจ้าเนบูชัดเนซซาร์ที่สอง ปกครองบาบิโลนซึ่งได้ขยายแสนยานุภาพออกไปมากมายจนรุ่งเรือง
พระเจ้านาโบโปลัซซาร์ทรงโปรดให้ สร้างกำแพงมหึมาล้อมรอบมือง
และโอรสก็ทรงดำเนินโครงการต่อ สร้างป้อมปราการและจุดป้องกันต่าง ๆ รอบกำแพง
มีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำยูเฟรตีส
พระเจ้าเนบูชัดเนซซาร์ โปรดให้สร้างสวนลอยซึ่งมีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วจนกลายเป็น
สิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของโลกสวนลอยนี้
เป็นสวนที่สร้างอยู่เหนือพื้นดินบนพื้นที่กึ่งทะเลทราย พระเจ้าเนบูชัดเนซซาร์
ทรงสร้างให้พระมเหสีซึ่งเป็นเจ้าหญิงแห่งมีดส์ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ดี
ร่วมกันขับไล่พวกอัสซีเรียออกไปได้ ตามตำนาน พระราชินีเซมีรามิส
องค์นี้ทรงอาลัยอาวรณ์ ภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขาเปอร์เซีย
อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนและไม่โปรดความราบเรียบของนครบาบิโลน
ดังนั้นจึงมีการสร้างสวนลอยขึ้นเป็นภูเขาซึ่งสร้างขึ้นโดยฝีมือมนุษย์
สวนลอยแห่งนี้สร้างเมื่อประมาณ 600 ปี ก่อนคริสตกาล
โดยก่อเป็นเนินสูงซ้อนกันเป็นชั้นสูง ๆ สูงถึง 328
ฟุต หรือ 100
เมตร ล้อมรอบด้วยกำแพงแข็งแกร่งหนาถึง 23
ฟุต หรือ 7
เมตร แต่ละชั้น สร้างสิ่งอำนวยความสะดวก และ ปลูกดอกไม้ พืชพันธุ์ต่าง ๆ
ไว้จำนวนมาก พันธ์พฤกษ์สารพัดชนิดจากทุกมุมโลก รวมทั้งไม้ดอกและไม้เลื้อย
บันไดที่พาขึ้นไปสู่สวน กว้างขวางทำด้วยหินอ่อนข้างใต้บันไดมีซุ่มคอยรับน้ำหนัก
ข้างบนเฉลียงของสวนลอยมีถังน้ำที่คอยหล่อเลี้ยงน้ำพุ น้ำตก และสายน้ำต่าง ๆ
บนสวนลอย น้ำจำนวนมากมายนี้ สูบมาจากแม่น้ำยูเฟรติสโดยทาส
โดยชักน้ำจากเบื้องล่างขึ้นไปสู้ชั้นสูงสุดแล้วปล่อยให้ ไหลลงมาสู่ชั้นต่าง ๆ
เบื้องล่าง
พ่อค้าวาณิชที่เดินทางในทะเลทรายมาสู่เมืองนี้
จะได้เห็นสวนลอยแห่งนี้อยู่สูงเด่นเห็นแต่ไกล จนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทิศ
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ปรากฎว่ากรุงบาบิโลน อยู่ในเมืองแบกแดก ของประเทศอิรักปัจจุบัน
นับว่าคนสมัยนั้นมัความสามารถทางด้านสถาปัตย์และวิศวกรรมศาสตร์อย่างน่ายกย่อง
จึงสามารถรักษาสวนลอยนี้ให้สวยงามเขียวชอุ่มได้ตลอดเวลา
หลังจากพระเจ้าเนบูชัดเนซซาร์สิ้นพระชนม์ลงได้ 22 ปี
อาณาจักรนี้ก็ตกเป็นของจักรพรรดิไซรัสมหาราช แห่งเปอร์เชีย สันนิษฐานกันว่า
สวนลอยแห่งบาบิโลนนี้ ยังคงอยู่คู่เมืองจนถึงวศรรตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล
ปัจจุบันนี้ส่วนที่หลงเหลืออยู่ให้เราได้ชมก็คือบ่อน้ำและโค้งซุ้มประตูหนึ่งหรือสองอัน
และนิยาย คำร่ำลือสืบต่อ ๆ กันมา
3.เทวรูปซูสที่โอลิมเปีย
สถานที่ตั้ง เมืองโอลิมเปีย ประเทศกรีซ
ปัจจุบัน
ไม่เหลือซาก
เป็นเทวรูปของจอมเทปซีอุสที่สร้างด้วยไม้
ประดับด้วยทองคำและงาช้าง ลักษณะประทับนั่ง อยู่บนฐานกว้าง 10 เมตรครึ่ง ตัวเทวรูปสูง 9 เมตร ออกแบบก่อสร้างในศตวรรษที่ 5 ก่อน ค.ศ.
โดยฝีมือประติมากรเอกของกรุงเอเธนส์ นาม ฟิดิแอส
เทวรูปนี้ประดิษฐานอยู่ในวิหารเมืองโอลิมเปียของกรีก และถูกไฟไหม้วอดวายใน ค.ศ.475
จนไร้ร่องรอยใดๆทำความลำบากให้แก่คณะโบราณคดีผู้ตามรอย
จึงต้องศึกษาจากเอกสารโบราณของกรีก และทำการขุดค้นที่เมืองโอลิมเปีย
จนพบส่วนของฐานที่ตั้งเทวรูปซึ่งมีรอยบาทขององค์ซีอุสปรากฏอยู่
ทำให้สามารถคำนวณหาความสูงของเทวรูปได้อนุสาวรีย์นี้เป็นรูปสลักเทพเจ้าซีอูส
นั่งบนบัลลังก์สีทองที่แกะสลักด้วยงาช้างจำนวนมากมาประกอบกันขึ้น
ผู้ที่ปั้นเทวรูปซีอุสนี้ เป็นปฏิมากรเอกชาวกรีก ชื่อ ฟีดีอัส
เป็นคนเดียวกับที่สร้างวิหารพาเธนอน ในกรุงเอเธนส์ และสนามกีฬาโอลิมปิค
เทวรูปซีอุส
เป็นสิ่งมหัศจรรย์ยุคเก่าแก่สิ่งหนึ่งของโลก คือ สร้างขึ้นประมาณ 2,400 ปีก่อน ระหว่งปี ค.ศ. 53 - 111
ตามตำนานที่จารึกไว้ได้ระบุว่าเทวรูปทำจากงาช้างสูง 58 ฟุต มีขนาดใหญ่กว่าคนปรกติถึง 8 เท่า พระหัตถ์ซ้ายทรงคทา
พระหัตถ์ขวารองรับ รูปปั้นแห่งชัยชนะ (A small
figure of Victory ) มีเครื่องประดับ ประดาด้วยทองคำล้วน
ชาวโรมันเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า
จูปีเตอร์ ชาวกรีกได้เรียกเทวรูปนี้ว่า ซุส
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นผู้นำแห่งเทพเจ้า ชาวกรีกนับถื่อมากที่สุดในยุคนั้น
ใครจะออกเดินทางไปเมืองใดต้องมาพรจากพระองค์เสียก่อน
แต่บัดนี้ไม่มีหลักฐานให็เป็นที่ชมได้เพราะได้ถูกไฟเผาไหม้หมดทั้งองค์ในปี
ค.ศ. 476
คงเห็นภาพในเหรียญ ตราโบราณ และจากจินตนาการที่ได้มาจากคำบอกเล่า หรือ
นิยายปรัมปราเท่านั้น แต่ความงาม ความใหญ่โตศักดิสิทธิ์
ยังคงเป็นที่ยกย่องเล่าลือมาจนถึงปัจจุบันนี้
เทพเจ้า ซุส หรือ ซีอุส [zeus]เทพเจ้าแห่งขุนเขาโอลิมปุส
...หลังจากปราบยักษ์เสร็จปราศจากเสี้ยนหนามใด
ๆ แล้ว ซูสก็ขึ้นครองบัลลังก์รั้งอำนาจเต็มตลอด 3 ภพ
คือสวรรค์ พิภพและบาดาล แต่ไท้เธอตระหนักดีว่า การที่จะปกครองทั้ง 3 ภพและทะเลให้ทั่วถึงมิใช่เรื่องง่าย
หาใช่ภาระเล็กน้อยไม่ เพื่อป้องกันการแก่งแย่งและกระด้างกระเดื่อง
ไท้เธอจึงจัดสรรอำนาจยอมยกให้เทพภราดรมีเอกสิทธิในการปกครองอาณาเขตดังนี้
- เนปจูน
หรือ โปเซดอน ได้ครองทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และแม่น้ำทั้งปวง พลูโต หรือ ฮาเดส
เป็นเจ้าแห่งตรุทาร์ทะรัส
และแดนบาดาลทั้งหมดอันรัศมีของแสงอาทิตย์ไม่เคยส่องลอดไปถึงเลย ส่วน ยูปิเตอร์
หรือตัว ซูส เองปกครองทั้งสวรรค์และพิภพ
แต่ก็มีอำนาจที่จะสอดส่องดูแลกิจการทั่วไปในเขตแดนของเทพภราดรทั้งสองได้บ้าง
เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
ความสงบราบคาบบังเกิดขึ้นตลอดสวรรค์และพิภพเทพทั้งหลายก็ประนังประนอมกันดี
ธรรมชาติทั้งมวลก็ประกอบพร้อมแล้ว แม้แต่สถานที่ซึ่งชีวิตฝ่ายกุศลและอกุศลจะพึงดลเมื่อล่วงลับแล้ว
ก็จัดไว้พร้อมสรรพ
- หากกล่าวถึงบทบาทของไท้เทพซูสแล้วต้องยอมรับว่า
ไท้เธอมีบทบาทขัดแย้งในองค์เองมากที่สุดในบรรดาเทวานุเทวะ
ด้วยกันเนื่องจากทรงเป็นมหาเทพผู้ทรงอำนาจสูงสุด
และมีผู้เคารพนับถือโดยทั่วไปเป็นที่ยำเกรงของสามโลก ทรงไว้ซึ่งฤทธิ์อำนาจ
ล้นฟ้าล้นแผ่นดิน แต่กลับทรงมีอุปนิสัยเหมือนบุรุษหนุ่มธรรมดา ๆ บางคน นั่นคือ
ความเกรงใจที่มอบให้แก่มหาเทวี ฮีร่า ชายาของ ไท้เธออย่างมาก หากพูดกันตามประสา
ก็คือ"กลัวเมีย"และสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ
ความเจ้าชู้ที่มีอยู่ในตัวมหาเทพซูสนั่นเอง
ความขัดแย้งอีกประการหนึ่งที่มีอยู่ในตัวมหาเทพองค์นี้
คือ แม้ว่าไท้เธอจะมีอำนาจสูงสุดทั่วสามภพ แต่ไม่อาจใช้อำนาจของ
ตนไปแตะต้องเทพองค์หนึ่งได้ ทั้ง ๆ ที่เทพองค์นั้นก็เป็นเพียงเทวะชั้นรอง
และไม่สามารถมาประชันขันแข่งกับซูสเทพบดีได้ เทพ องค์นั้นมีนามว่า ชะตาเทพ (Fate) แสดงว่าไม่มีผู้ใดเลย
แม้แต่เหล่าทวยเทพจะหาญสู้ หลีกเลี่ยง หรือก้าวก่ายกับชะตาชีวิตได้
- ด้วยเหคุนี้การที่มหาเทพซูสมีอะไรแย้ง
ๆ กันในองค์เอง อาจเป็นเพราะชาวกรีกโบราณที่สร้าง เหล่าทวยเทพขึ้นนับถือ
มีความเป็นนักปรัชญาอยู่เต็มตัว เขาจึงสร้างทวยเทพของเขาให้ละม้ายแม้นกับ
มนุษย์ปุถุชน มีทั้งข้อดีและจุดบกพร่อง
คุณงามความดีอันสำคัญของมหาเทพซูสเป็นอีกอย่างหนึ่งที่บ่ง บอกว่า
ผู้ที่เคารพนับถือไท้เธอเป็นนักปราชญ์มากกว่านักสงคราม ก็คือ
ซูสทรงรักสัจจะและความเป็น ธรรมอย่างที่สุด ทรงเกลียดชังคนโกงและคนโกหกอย่างที่สุด
การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเพื่อถวายแด่
พระองค์นักกีฬาจึงต้องแข่งกันอย่างตรงไปตรงมาที่สุด
รูปสลักของซูสเทพบดีมีลักษณะเป็นบุรุษสูงวัย
ล่ำสันแข็งแรง พักตร์มีสง่าราศี กอปรด้วยเครายาวและเกศาหยิกสลวย ไท้เธอมี อสนีบาต
(Thunder bolt) เป็นอาวุธประจำกาย
ทรงเกราะทองประกายวาววับ ซึ่งเกราะทองนี้ไม่มีมนุษย์สามัญจะทน มองได้
แม้แต่ทวยเทพด้วยกันเอง หากไปเพ่งมองแสงเจิดจ้าของเกราะทองเข้าก็ย่ำแย่เช่นกัน
ทรงมีพญานกอินทรีเป็นนกเลี้ยง ต้นโอ๊คเป็นพฤกษาประจำองค์
มีมหาวิหารและศูนย์กลางศรัทธาในตัวพระองค์อยู่ที่เมืองโอลิมเปีย
ดังที่กล่าวมาแล้วแต่ต้นว่า
ซูสเป็นมหาเทพที่เจ้าชู้ที่สุดองค์หนึ่งในวงศ์โอลิมเปี้ยน
เรื่องราวความรักของไท้เธอมีมากหลาย เรื่องเป็นตำนานเล่าสืบทอดกันมากมาย ซูสเทพบดีออกจะถนัดถนี่ในการล่อลวงสตรีสาวสวยยิ่งกว่า
เหล่าเทพองค์ใด ๆ เท่าที่เคยมีมา ทรงปลอมเป็นวัวสีขาวสง่างาม ไปหลอกโฉมงามนาง
ยูโรปาไปเชยชมที่เกาะครีต นอกจากนี้
ยังทรงแปลงเป็นหงส์ไปก้อร่อก้อติกสาวงามนาม ลีดา (Leda)จน
อนงค์นางตั้งครรภ์และคลอดออกมาเป็นไข่ ครั้นไข่แตกออก
แทนที่จะเป็นตัวประหลาดครึ่งคนครึ่งหงส์โผล่ออกมาอย่างตำนานทั่วไป
กลับกลายเป็นฝาแฝดชายคู่หนึ่ง ได้แก่ คัสเตอร์ (Castor)
กับ โพลิดียูซิส (Polydeuses) หรือ
พอลลักซ์ (Pallux ) ในภาษา
โรมัน สิ่งที่ทำให้ทารกคู่นี้เป็นพยานความสัมพันธ์ระหว่างเทพกับมนุษย์คือ
คนหนึ่งมีกายเป็นอมตะดั่งเทพ แต่อีกคนหนึ่งตายได้ อย่างมนุษย์สามัญธรรมดา นอกจาก ฝาแฝดชายคู่นี้แล้ว
ลีดายังมีแฝดหญิงอีกคู่หนึ่ง ซึ่งกระเดื่องเลื่องชื่อที่สุดในตำนานกรีกโบราณ
หนึ่งนั้นนามว่า เฮเลน เดอะบิวติฟุล ต้นเหตุของมหาสงครามกรุงทรอย อีก หนึ่งคือ
ไคลเตมเนสตร้า (Clytemnestra) ซึ่งต่อมาได้เป็นมเหสีของ
อกาเมมนอนแห่งไมซีนี่(ความสัมพันธ์สวาทของนางลีดากับพญาหงส์ปลอมที่มหาเทพซูสทรง
จำแลงมานั้น เป็นไปอย่างซ่อนเร้น เพราะลีดาเป็นมเหสีของท้าว ทินดาริอุส (Tindarius) แห่งสปาร์ต้า
เมื่อลีดาให้กำเนิดเฮเลนและ ไคลเตมเนสตร้า ทินดาริอุสก็นึก ว่าเป็นธิดาของพระองค์)
ยังมีเรื่องพิศวาสระหว่างซูสกับนวลอนงค์อื่น
ๆ อีกมาก อาทิสัมพันธ์รักกับนางไอโอ ที่เป็นยายของ วีรบุรุษ เฮอร์คิวลิส
รักกับไดโอนีและมีธิดา นามว่า อโฟรไดท์ พิสมัยกับไมอาและมีโอรสนามว่า เฮอร์มิส ฯลฯ
-ย้อนกลับไป
ขณะที่ยูเรนัสล้มลงจมกองเลือดของตนเอง เพราะถูกโครนัสชิงบัลลังก์
ก็ปรากฎร่างของพวกยักษ์ธรรมดา (Giants)กับพวกภูตพยาบาทฟิวรัส
หรือ อีรินิส (Erinyes) กระโดดออกจากกองเลือด
พร้อมกันนั้น ยูเรนัสได้สาปแช่งโครนัสว่า ให้ถูกลูกๆของตนเองแย่งอำนาจเช่นเดียวกัน
หลังจากยึดอำนาจจากยูเรนัส
เทพบิดาได้แล้ว เทพโครนัส (แซตเทิร์น)
ก็ขึ้นครองบัลลังก์ความเป็นใหญ่โดยมีคณะเทพไตตันให้ความสนับสนุน
และเลือกพระน้องนางรีอา(บางทีเรียกว่า เรีย โรมันเรียกว่า ออปส์ Ops) เป็นมเหสี
พร้อมทั้งแบ่งสันปันส่วนอื่นๆของพิภพให้กับบรรดาพี่น้องได้ปกครอง วันหนึ่ง
โครนัสได้รับแจ้งว่า พระนางรีอา
มเหสีของพระองค์ประสูติเทพโอรสองค์หนึ่งให้กับพระองค์ คำสาปแช่งของเทพบิดาก็ผุดขึ้นในความทรงจำของโครนัสทันที
โครนัสจึงจับเทพกุมารองค์นั้นกลืนกินเสีย ต่อมา..
ไม่ว่าจะมีโอรสหรือธิดาประสูติอีกกี่องค์
โครนัสก็จับกลืนกินหมดโดยไม่ยอมฟังคำวิงวอนของพระนางรีอาเลย ในที่สุด
พระนางรีอาก็ตัดสินใจซ่อนเทพโอรสองค์สุดท้องเอาไว้ ด้วยการเอาก้อนหินห่อผ้าให้โครนัสกลืนกินแทน
โครนัสไม่ทันเฉลียวใจ พระนางรีอาจำเอาเทพกุมารไปฝากในความดูแลของเหล่านางอัปสรนีเรียด
ธิดาของเทพนีรูส เทพกุมารนี้มีนามว่า ซีอุส หรือที่ชาวโรมันเรียกว่า จูปิเตอร์
วันเวลาผ่านไป ซีอุสเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ แข็งแรง และฉลาดปราดเปรื่อง
แล้วก็ถึงเวลาแห่งคำสาปแช่ง ซีอุสจู่โจมเข้าเล่นงานเพื่อยึดอำนาจจากโครนัส
โครนัสเป็นฝ่ายพลาดท่าเสียทีพ่ายแพ้
และถูกจับตัวไว้ซีอุสจึงปรีกษากับเจ้าแม่รีอาบังคับให้เทพโครนัสดื่มน้ำสำรอกที่
มีทิส ธิดาของโอเชียนัส ปรุงขึ้น หลังจากดื่มน้ำสำรอกเข้าไป โครนัสก็สำรอกลูกๆที่เคยกลืนกินเข้าไปออกมา
รวมทั้งหมด 5
องค์คือ
1. โปไซดอน
(Poseidon) หรือ
เนปจูน (Neptune)
2. ฮาเดส
(Hades) หรือ พลูโต (Pluto)
3. เฮสเทีย
(Hestia) หรือ
เวสตา (Vesta)
4. ดีมิเตอร์
(Demeter) หรือ
ซีรีส (Deres)
5. ฮีรา
(Hera) หรือ จูโน (Juno)
(ชื่อแรกเป็นภาษากรีก
ส่วนชื่อหลังเป็นภาษาโรมัน) และก้อนหินที่เข้าใจผิดคิดว่าเป็นซีอุสออกมาด้วย
เทพทั้ง 5 ที่โครนัสสำรอกออกมานี้ 2 องค์แรกเป็นเทพบุตร ส่วน 3
องค์หลังเป็นเทพธิดานอกจากทั้งหมดจะไม่ตายแล้ว ยังเติบโตเป็นผู้ใหญ่อีกด้วย
ซีอุสจึงตั้งตนขึ้นเป็นราชาแห่งทวยเทพ แต่หนทางครองบัลลังก์ก็ไม่ราบรื่น
เนื่องจากเกิดศีกใหญ่หมายจะโค่นล้มพระองค์อีกหลายครั้งหลายคราว
ศึกครั้งแรกคือ ศึกเทพไตตัน
ซึ่งยังจงรักภักดีต่อโครนัสอยู่ ได้ยกทัพมาล้อมเขาโอลิมปัสไว้
จึงเกิดการขับเคี่ยวกันเป็นเวลาช้านาน พระองค์เห็นข้าศึกจำนวนมากแถามทรงพลังน่าเกรงขาม
นึงหันไปญาติดีกับพวกยักษ์ไซคลอปส์ที่ยังถูกขังอยู่ในคุกทาร์ทะรัสโดยให้สัญญาว่า
จะปล่อยพวกยักไซคลอปส์เป็นอิสระ ถ้าช่วยสร้างอาวุธสายฟ้าให้
เมื่อได้รับข้อเสนอที่ยุติธรรมดีเช่นนั้นพวกยักษ์ก็ตกลงสร้างอาวุธอย่างเต็มกำลัง
มหาเทพซีอุสใช้อาวุธไปรบกับพวกไตตัน
เหล่าเทพไตตันจะพยายามร่วมแรงต้านอย่างไรก็ไม่สามารถสู้ได้เทพไตตันบางองค์ได้ถูกจับขังไว้ในคุกทาร์ทะรัสอีกคราว
ส่วนเทพโครนัสนั้นหนีไปยังต่างแดนและครองความเป็นใหญ่ตลดไป
ฝ่ายยักษ์ไซคลอปส์เมื่อถูกปลดปล่อยกลับแข็งข้อ นึงถูกปราบด้วยดาบสายฟ้า หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดศึกใหม่
เป็นอสูรที่มีหัวเป็นมังกร 100
หัว มีเปลวไฟพวยพุ่ง ชื่อว่า ไทฟอน ซึ่งถูกพระนางกีอาเนรมิตขึ้นเพื่อแก้แค้น
ความน่ากลัวทำให้ เทพซีอุสและเหล่าทวยเทพพากันหนีไปอยู่ที่อียิปต์
และยังแปลงกายเป็นสัตว์ต่างๆ แต่ไม่นาน เทพซีอุสก็ละอายใจต่อการกระทำของตนจึงกลับสู่เขาโอลิมปัสเพื่อต่อสู้กับอสูรไทฟอน
จนสังหารได้ แต่ก็ต้องพบกับอสูรเอนเซลาดัส ที่พระนางกีอาเนรมิตขึ้นอีก
มหาเทพซีอุสจึงต้องต่อสู้กับยักษ์อย่างสุดฝีมือ
จนจับเอนเซลาดัสล่ามโซ่ขึงไว้ใต้ภูเขาเอตนาได้สำเร็จแต่เอนเซลาดัสยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
พยายามดิ้นรน พร้อมกับคำราม บางคราวก็พ่นไฟ
ทำให้เกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟเอตนาระเบิด บนเกาะซิสิลี
หลังจากปราบศึกแล้วก็ไม่มีศึกใหญ่อะไรเกิดขึ้นอีกมหาเทพ
ซีอุสก็ได้ครองบัลลังก์ราชาแห่งทวยเทพอีกครั้ง
และจัดแจงแบ่งสันปันส่วนอำนาจให้บรรดาพี่ๆ โดยให้
-โปไซดอน
ปกครองทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และแม่น้ำทั้งปวง
-ฮาเดส
ปกครองบาดาล หรือยมโลก ตลอดถึงคุก ทาร์ทะรัส
-เฮสเทีย
เป็นเทวีแห่งไฟ และความผาสุกในเคหสถาน
-ดีมิเตอร์
เป็นเทวีแห่งธัญญาหาร
-ธีรา
เป็นเทวีผู้คุ้มครองการวิวาห์
4.มหาวิหารอาร์เทมีส
สถานที่ตั้ง เมืองเอเฟซุส
ประเทศตุรกี
ปัจจุบัน ยังมีซากหลงเหลืออยู่บ้าง
เป็นวิหารสร้างด้วยหินอ่อน
เลียบแบบศิลปะแบบกรีก เพื่อถวายเทพเจ้าอาร์เทมีส (เทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ของกรีก)
ผู้มาจากสวรรค์ ผู้ช่วยชาวเมืองให้พ้นจากหายนะและภัยพิบัติได้
อยู่ในเมืองอีเฟซุสบนชายฝั่งแห่งหนึ่งปัจจุบันนี้ คือประเทศตุรกี
ในรัชสมัยของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์แห่งกรีก
จัดเป็นวัดที่สวยงามแห่งหนึ่งจนกลายเป็นที่รู้จักว่า
เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคเก่า
วิหารนี้มีเนื้อที่ถึง 54,720 ตารางฟุต ตัวอาคารมีความกว้างถึง 400 ฟุต บริเวณโดยรอบวัดแห่งนี้กิน
เนื้อที่เกือบ 2
เอเคอร์ และมีเสาหินตั้งตระหง่านรอบตัวอาคารมากกว่า 100 เสาหิน
แต่ละเสาหินมีเส้นผ่านศุนย์กลาง 6
ฟุต ความสูง 60
ฟุต หลังคาปูด้วยกระเบื้องหินอ่อน ภายในโบสถ์เป็นที่ประดิษฐานเทพเจ้าชื่อว่า
อาร์ทิมีส หรืออีกชื่อหนึ่ง ว่าไดอาน่า ประชาชนจะนำสิ่งของมาสักการะบูชา
ส่วนมากเป็นสิ่งของมีค่ามากมาย
เคยถูกไฟไหม้เสียหายครึ่งหนึ่งแต่ได้รับการซ่อมแซมใหม่โดยกษัตริย์อเล็กซานเดอร์
วิหารแห่งนี้ได้ถูก ทำลายสิ้นก่อนปี ค.ศ. 262 จึงเหลือแต่ซากปรักหักพังเก็บไว้ชมอยู่ในกรุงอิสตันบลู
ประเทศตุรกี
5.สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส
สถานที่ตั้ง ฮาลิคาร์นัสเซิล ประเทศตุรกี
ปัจจุบัน เหลือเเต่ซาก
สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส หรือ
สุสานแห่งโมโซลูส (The Mausoleum at Halicarnassus, Tomb of Mausolus) เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ
ซึ่งเก่าแก่เป็นอันดับ 5 ตั้งอยู่ที่ฮาลิคาร์นัสเซิส ประเทศตุรกี ในปัจจุบัน
สุสานที่สร้างโดยผู้หญิง
สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิสเป็นอนุสรณ์แห่งความรักมีที่มาที่ออกจะแปลกสักหน่อย
ปกติเรามักจะได้ยินว่าผู้ชายเป็นคนสร้างอนุสรณ์เพื่อแสดงถึงความรักที่มีต่อหญิงสาวคนรักผู้ล่วงลับ
แต่ที่มาของสุสานนี้กลับกัน เพราะผู้หญิงเป็นฝ่ายสร้างให้ผู้ชาย ผู้สร้างคือ
ราชินีอาเตมีสเซีย ซึ่งเป็นทั้งพระขนิษฐาและพระมเหสีของกษัตริย์มุสโซลูส
กษัตริย์แห่งเอเชียไมเนอร์ หรือประเทศอิหร่านในปัจจุบัน
เพื่อเป็นสิ่งก่อสร้างแทนความรักต่อพระสวามีซึ่งล่วงลับเมื่อ 353 ปีก่อนคริสต์ศักราช
สุสานหินอ่อน
สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิสสร้างจากหินอ่อน สูง
140 ฟุต ฐานมีพื้นที่ 460 ฟุต มีรูปปั้นสิงโตขนาบบันไดที่ทอดไปสู่สุสาน
สุสานรายล้อมด้วยรูปปั้นนักรบบนหลังม้า โดยมีเสาหินจำนวน 36 ต้น เป็นฉากหลัง
หลังคาเป็นรูปทรงพีระมิด มีกษัตริย์มุสโซลูส และราชินีอาเตมีสเซีย
ประทับยืนอยู่บนราชรถม้าซึ่งกำลังวิ่ง
แต่ราชินีอาเตมีสเซียไม่มีโอกาสได้เห็นสุสานที่เสร็จสมบูรณ์ เพราะสิ้นพระชนม์เมื่อ
350 ปีก่อนคริสต์ศักราช
พังทลายจากภัยธรรมชาติ
ภายหลังเมื่อก่อสร้างสุสานเสร็จ
พระศพของกษัตริย์มุสโซลูส
และราชินีอาเตมีสเซียก็ได้ประทับเคียงกันในสุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส
แต่เมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ช่วงศตวรรษที่ 13
ก็ทำให้สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิสพังทลาย ซ้ำชิ้นส่วนต่างๆ
ยังถูกนำไปสร้างป้อมหรือสิ่งก่อสร้างต่างๆ ปัจจุบันยังคงหลงเหลือซากชิ้นส่วนบางชิ้น
โดยเก็บรักษาไว้ในบริติชมิวเซียม ในประเทศอังกฤษ
6.เทวรูปโคโลสซุส
ตำแหน่งที่ตั้ง เกาะโรดส์
ประเทศกรีซ
ปัจจุบัน ไม่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน
เทวรูปโคโลสซูส
เป็นเทพเจ้าที่ชาวกรีกเคารพนับถือมาก ซึ่งกษัตริย์ชาเรสแห่งลินดัส สร้างขึ้นเมื่อ 280 ปี ก่อนคริสต์กาล
เทวรูปนี้หล่อด้วยทองสำริดในท่ายืนสูง 100 ฟุต มือขวาถือประทีป
เทวรูปตั้งอยู่บนฐานทั้งสองข้างของปากอ่าว
องค์เทวรูปยืนถ่างขาคร่อมปากอ่าวให้เรือลอดไปมาได้ เทวรูปโคโลสซูส
หรือเทพเจ้าอพอลโป ประดิษฐานอยู่บนเกาะโรดส์ ประเทศกรีซ และเมื่อ 224 ปี ก่อนคริสต์กาล เกิดแผ่นดินไหว
เทวรูปจึงพลังลงมา ไม่มีใครดูแลเอาใจใส่ จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 10
ซากทองเหลืองที่เหลืออยู่จึงถูกขายให้แก่ชาวเมือง ซาราเชนส์
ไปทำอาวุธในการทำสงครามจนหมด ปัจจุบันสิ่งมหัศจรรย์ชิ้นนี้ได้สูญสลายไปหมดแล้ว
7.ประภาคารฟาโรส
สถานที่ตั้ง เกาะฟาโรส
ประเทศอียิปต์
ปัจจุบัน ไม่หลงเหลืออยู่แล้ว
หลังจากที่ Ptolemy ขึ้นมามีอำนาจเหนืออียิปต์
(เมื่อสิ้นยุคของ Alexander มหาราช) พรงองค์ต้องการให้มีสัญลักษณ์และอุปกรณ์ที่จะช่วยดึงเรือสินค้าทั้งหลายมาสู่ท่าเรือของอเล็กซานเดรีย
พระองค์จึงทรงอนุญาตให้สร้างหอประภาคาร Pharos ขึ้นในปี 290 ก่อน ค.ศ. และเสร็จในอีก 20
ปีต่อมา ถือเป็นประภาคารที่สูงที่สุดแห่งแรกของโลก ผู้ออกแบบหอประภาคารแห่งนี้คือ Sostrates แห่ง Knidos ซึ่งภูมิใจกับผลงานชิ้นนี้ของตัวเองมากและปรารถนาที่จะให้มีชื่อของตนปรากฏอยู่ในผลงาน
แต่กษัตริย์ Ptolemy
ที่สองซึ่ง สืบราชสมบัติต่อจากบิดา
ปฏิเสธคำขอนี้ เพราะต้องการให้มีเพียงพระนามของพระองค์เท่านั้น Sostrates ผู้แสนฉลาดจึงแอบสลักชื่อของตนเองเอาไว้
แล้วปิดทับไว้ด้วยแผ่นโลหะที่จารึกพระนามของพระองค์ ว่ากันว่า บนยอดของประภาคาร
มีกองไฟใหญ่และกระจกโลหะโค้งขนาดมหึมาที่ทำหน้าที่สะท้อนแสงจากกองไฟยักษ์นี้ให้ส่องเป็นลำออกไปได้ไกลจนแม้แต่ เรือซึ่งอยู่ห่างออกไป 100
ไมล์ก็สามารถมองเห็นได้ บ้างก็ว่าบางครั้งก็ใช้ส่องเพื่อเผาเรือของศัตรู
และบางตำนานก็ถึงขนาดบอกว่าสามารถจะใช้ส่องขยายภาพของกรุง Constantinople
ซึ่งอยู่อีกฟากของทะเลได้









ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น